วิธีช่วยเหลือผู้สูงอายุให้รับมือกับความโศกเศร้าจากการสูญเสียคนรัก
ถึงแม้ว่าการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตที่มนุษย์ทุกคนจะต้องพบเจอ แต่สำหรับผู้สูงอายุในบั้นปลายชีวิตแล้ว การสูญเสียคนรักที่มีความผูกพันร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาเป็นเวลานาน ถือเป็นเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก หากผู้สูงอายุไม่สามารถรับมือกับความสูญเสียได้ จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงพฤติกรรมที่แสดงออก จนอาจทำให้ไม่สามารถกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข
บางครั้งการสูญเสียคู่สมรสหรือคนรัก อาจมีผลทำให้ผู้สูญเสียมีความรู้สึกว่าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หรือที่เรียกว่าตรอมใจ เนื่องจากคิดว่าตนเองจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังได้ จนอาจนำไปสู่อาการป่วยทางจิตใจและร่างกาย เช่น อาการหดหู่ซึมเศร้า ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย อย่างระบบภูมิคุ้มกัน หรือการกำเริบของโรคประจำตัว ดังนั้นคนในครอบครัวและคนรอบข้างจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะต้องทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้สูงอายุทั้งในด้านอารมณ์ พฤติกรรม และการเข้าสังคม เพื่อให้ผู้สูงอายุก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากไปได้
การแสดงออกเมื่อเกิดความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ผู้สูงอายุที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมักจะแสดงออกหลายด้าน ดังนี้
- ด้านอารมณ์: ในช่วงแรกผู้สูงอายุอาจมีความรู้สึกมึนงง สับสน และตกใจ บางรายอาจอยู่ในภาวะช็อคมากถึง 2-3 สัปดาห์ จากนั้นจะรู้สึกซึมเศร้าร้องไห้คร่ำครวญ หรือกลัวว่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังได้ นอกจากนี้ผู้สูญเสียอาจรู้สึกโกรธและรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งโดยคนรัก อีกทั้งยังรู้สึกแย่ที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่
- ด้านร่างกาย: ผู้สูญเสียอาจมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน หายใจลำบาก หัวใจเต้นแรง รู้สึกว่าตัวชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรง อีกทั้งยังมีความดันสูงอันเนื่องมาจากความเครียด ไม่อยากอาหารและมีน้ำหนักลดลง
- ด้านพฤติกรรม: ผู้สูงอายุอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการสูญเสีย อาทิเช่น มีอาการเหม่อ ใจลอย อยากแยกตัวออกจากสังคมหรือกิจกรรมที่เคยชอบทำ ต้องการอยู่ตามลำพังและจมอยู่กับความทุกข์ อาจฝันร้ายหรือฝันถึงผู้เสียชีวิต
แนวทางสำหรับคนในครอบครัวในการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
หลังจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้สูงอายุอาจรู้สึกขาดพลังในการดำรงชีวิต หากปล่อยอาการเหล่านี้ไว้นานๆ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้ คนในครอบครัวและคนรอบข้างสามารถให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุได้ดังนี้
- คนในครอบครัวควรสื่อสารและรับฟังผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุได้ระบายความรู้สึกเพื่อบรรเทาความเสียใจและความเครียด คนในครอบครัวอาจพูดให้กำลังใจหรือสัมผัสผู้สูงอายุด้วยการจับมือหรือกอด เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเพียงลำพัง
- ในช่วงแรกของการสูญเสีย คนในครอบครัวควรให้เวลาผู้สูงอายุในการแสดงความเสียใจโศกเศร้า ไม่ควรเร่งเร้าหรือกดดันให้ผู้สูงอายุยอมรับการสูญเสียในระยะเวลาอันสั้น
- ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารและนอนหลับให้เพียงพอ อาจเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการพาไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่
- ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุออกกำลังกายให้มากขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะทำให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขที่จะช่วยลดความเครียดและทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น
- ชักชวนญาติพี่น้องให้มาเยี่ยมเยียนหรือให้ผู้สูงอายุช่วยดูแลหลานๆ เพื่อคลายความเครียดและคลายเหงา
- ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวให้มากขึ้น เช่น การทำอาหารและรับประทานอาหารร่วมกัน พาผู้สูงอายุออกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ซื้อต้นไม้ จัดสวน
- สังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือสามารถทำใจยอมรับการสูญเสียได้มากขึ้นหรือไม่
- หากผู้สูงอายุไม่สามารถรับมือกับความสูญเสียได้ ใช้ระยะเวลาในการทำใจนานผิดปกติ หรือมีแนวโน้มแย่ลง คนในครอบครัวควรพาผู้สูงอายุเข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้สูงอายุแต่ละคนอาจใช้เวลาไม่เท่ากันในการทำใจยอมรับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดและลักษณะความสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามกำลังใจจากคนในครอบครัวและคนรอบข้างก็มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถทำใจยอมรับความจริง สามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข