วิธีรับมือเมื่อผู้สูงอายุปฏิเสธความช่วยเหลือจากภายนอก

วิธีรับมือเมื่อผู้สูงอายุปฏิเสธความช่วยเหลือจากภายนอก

เมื่อคุณพบว่าผู้สูงอายุที่คุณรักกำลังมีปัญหาในการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง น่าจะถึงเวลาที่ต้องพิจารณาการดูแลรูปแบบอื่น เช่น การอยู่อาศัยที่มีผู้ช่วยเหลือ หรือพยาบาลเข้ามาดูแล ไม่ว่าพวกเขาจะเริ่มลืมมากกว่าปกติ เคยล้ม ละเลยสุขอนามัยส่วนบุคคล หรือรับประทานอาหารไม่ครบมื้อ สิ่งสำคัญคือคุณต้องดำเนินการโดยเร็วเพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วยที่รุนแรง น่าเสียดายที่ผู้สูงอายุไม่ใช่ทุกคนจะกระตือรือร้นที่จะย้ายออกจากบ้านไปอยู่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ พวกเขาอาจกลัวการสูญเสียอิสรภาพหรือการควบคุม รู้สึกอับอายหรือขายหน้า หรือไม่ยอมรับว่าความสามารถทางร่างกายและจิตใจของตนเองกำลังลดลง ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่ลูกๆ หรือผู้ดูแลในบ้าน สามารถช่วยให้คนที่คุณรักเข้าใจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบันได้ดีขึ้น

สาเหตุที่ผู้สูงอายุปฏิเสธความช่วยเหลือ

ก่อนที่จะเข้าใจวิธีการรับมือ เราควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ผู้สูงอายุมักปฏิเสธความช่วยเหลือจากภายนอก:

  1. กลัวการสูญเสียความเป็นอิสระ
    ผู้สูงอายุหลายคนมองว่าการยอมรับความช่วยเหลือเป็นสัญญาณของการสูญเสียอิสรภาพ พวกเขาอาจกลัวว่าการยอมรับความช่วยเหลือเล็กน้อยในปัจจุบันจะนำไปสู่การสูญเสียการควบคุมชีวิตของตนเองในอนาคต
  2. ความอายและความภาคภูมิใจ
    การต้องพึ่งพาผู้อื่นอาจทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกอับอายหรือเสียศักดิ์ศรี โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นผู้นำครอบครัวหรือมีบทบาทสำคัญในสังคม
  3. การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
    ผู้สูงอายุบางคนไม่ยอมรับว่าร่างกายของตนเองเปลี่ยนแปลงไปตามวัย พวกเขาอาจมองว่าตนเองยังสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม ซึ่งนำไปสู่การปฏิเสธความช่วยเหลือ
  4. ความกลัวเรื่องค่าใช้จ่าย
    ความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุปฏิเสธความช่วยเหลือ โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินบำนาญหรือเงินออมจำกัด
  5. กลัวเป็นภาระให้กับลูกหลาน
    ผู้สูงอายุหลายคนไม่ต้องการเป็นภาระให้กับลูกหลาน พวกเขาอาจคิดว่าการปฏิเสธความช่วยเหลือจะช่วยลดความกังวลและภาระของคนในครอบครัว

วิธีรับมือเมื่อผู้สูงอายุปฏิเสธความช่วยเหลือ

การรับมือกับสถานการณ์นี้ต้องอาศัยความอดทน ความเข้าใจ และกลยุทธ์ที่เหมาะสม ต่อไปนี้คือแนวทางที่ครอบครัวสามารถนำไปปรับใช้:

  1. เริ่มการสนทนาอย่างเปิดใจและเคารพ
    เริ่มต้นด้วยการพูดคุยอย่างเปิดใจ ให้ผู้สูงอายุได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกอย่างอิสระ หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือกดดัน ใช้คำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยและความเข้าใจ เช่น: “คุณพ่อคะ/ครับ หนู/ผมเข้าใจว่าคุณพ่ออยากอยู่อย่างอิสระ แต่หนู/ผมเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เราช่วยกันหาทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่ายได้ไหมคะ/ครับ”
  2. ให้ทางเลือกแทนที่จะบังคับ
    เสนอทางเลือกหลากหลายให้ผู้สูงอายุได้พิจารณา ทำให้พวกเขารู้สึกว่ายังมีอำนาจในการตัดสินใจ การให้ทางเลือกจะช่วยลดความรู้สึกถูกบังคับและเพิ่มโอกาสที่ผู้สูงอายุจะยอมรับความช่วยเหลือ
  3. เริ่มจากความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ
    ไม่ควรเสนอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทันที แต่ควรเริ่มจากความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เช่น การช่วยทำความสะอาดบ้านสัปดาห์ละครั้ง หรือการพาไปหาหมอตามนัด การเริ่มจากสิ่งเล็กน้อยจะช่วยให้ผู้สูงอายุค่อยๆ ปรับตัวและยอมรับความช่วยเหลือมากขึ้นในอนาคต
  4. ใช้บุคคลที่ผู้สูงอายุเคารพนับถือเป็นสื่อกลาง
    บางครั้งการให้บุคคลที่ผู้สูงอายุเคารพนับถือ เช่น แพทย์ประจำตัว หรือเพื่อนสนิท เป็นผู้แนะนำเรื่องการรับความช่วยเหลือ อาจได้ผลดีกว่าการที่ลูกหลานเป็นผู้พูด
  5. นำเสนอประโยชน์ที่ผู้สูงอายุจะได้รับ
    อธิบายให้ผู้สูงอายุเห็นว่าการรับความช่วยเหลือจะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไร เน้นประโยชน์ที่จะได้รับมากกว่าสิ่งที่ต้องสูญเสียไป เช่น การมีผู้ช่วยดูแลบ้านจะทำให้มีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบมากขึ้น
  6. แสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อครอบครัว
    อธิบายอย่างนุ่มนวลว่าการที่ผู้สูงอายุปฏิเสธความช่วยเหลือส่งผลต่อความรู้สึกของสมาชิกในครอบครัวอย่างไร เช่น: “คุณแม่คะ/ครับ การที่หนู/ผมเห็นคุณแม่ต้องพยายามทำทุกอย่างเองทั้งที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย ทำให้หนู/ผมรู้สึกเป็นกังวลมาก หนู/ผมอยากให้คุณแม่มีความสุขและปลอดภัย”
  7. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
    ในบางกรณี การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุอาจช่วยให้ครอบครัวเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้นและได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม

วิธีการพูดคุยกับผู้สูงอายุเกี่ยวกับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ที่ไม่ใช่บ้านพักคนชรา

การพูดคุยกับผู้สูงอายุเกี่ยวกับการย้ายไปอยู่ศูนย์ดูแลเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและความเข้าใจ ต่อไปนี้คือแนวทางที่อาจช่วยให้การสนทนาราบรื่นขึ้น:

  1. เลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
    ควรเลือกช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ หลีกเลี่ยงการพูดคุยในที่สาธารณะหรือช่วงที่ผู้สูงอายุกำลังเหนื่อยหรือไม่สบาย ควรเลือกสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว
  2. ใช้ภาษาที่เหมาะสมและให้เกียรติ
    หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “บ้านพักคนชรา” หรือคำที่อาจทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกด้อยค่า แทนที่จะใช้คำว่า “ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ” “ชุมชนผู้สูงวัย” หรือ “บ้านพักที่มีผู้ดูแล” ซึ่งฟังดูเป็นบวกมากกว่า
  3. นำเสนอข้อดีและประโยชน์ที่จะได้รับ
    เน้นย้ำถึงข้อดีของศูนย์ดูแลที่ตรงกับความสนใจและความต้องการของผู้สูงอายุ เช่น:
    “คุณพ่อจะได้พบเพื่อนใหม่ที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน”
    “มีกิจกรรมวาดรูปที่คุณแม่ชอบทุกสัปดาห์”
    “มีแพทย์และพยาบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกๆ หมดความกังวล”
    “อาหารเป็นแบบโฮมเมดและปรุงโดยพ่อครัวมืออาชีพ”
  4. ให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    พยายามให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ จากการเลือกศูนย์ดูแลไปจนถึงการเลือกห้องพักและของใช้ส่วนตัวที่จะนำไปด้วย
  5. เสนอให้ทดลองอยู่ก่อน
    หากเป็นไปได้ ลองเสนอให้ผู้สูงอายุทดลองอยู่ที่ศูนย์ดูแลเป็นเวลาสั้นๆ เช่น 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์จริงก่อนตัดสินใจ
  6. พาไปเยี่ยมชมศูนย์ดูแลล่วงหน้า
    การพาผู้สูงอายุไปเยี่ยมชมศูนย์ดูแลล่วงหน้าจะช่วยให้พวกเขาได้เห็นสภาพแวดล้อมจริง ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่และผู้สูงอายุคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งอาจช่วยลดความกังวลและความกลัวได้
  7. ให้ความมั่นใจเรื่องการเยี่ยมเยียน
    ให้ความมั่นใจกับผู้สูงอายุว่าการย้ายไปอยู่ศูนย์ดูแลไม่ได้หมายความว่าครอบครัวจะทอดทิ้ง และยืนยันว่าจะมาเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ
  8. หากชวนยังไม่สำเร็จ อย่ารีบร้อน
    หากผู้สูงอายุยังไม่พร้อมที่จะตัดสินใจในทันที อย่าเร่งรัดหรือบังคับ ให้เวลาในการคิดและทำความเข้าใจ อาจต้องใช้การพูดคุยหลายครั้งก่อนที่ผู้สูงอายุจะยอมรับความคิดนี้

“ให้เราช่วยดูแลคนที่คุณรัก โทรหาเราตอนนี้”

บ้านลลิสาเป็น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจรที่มุ่งมั่นในการมอบบริการดูแลผู้สูงอายุที่มีคุณภาพสูงในบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนบ้าน ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในการดูแลผู้สูงอายุ บ้านลลิสาได้พัฒนาแนวทางการดูแลที่เน้นความเป็นองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม

ทำไมควรเลือก ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านลลิสา

ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านลลิสา
  1. ทีมงานมืออาชีพและใส่ใจ บ้านลลิสามีทีมงานที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกอบรมอย่างเข้มงวด ทุกคนมีใจรักในการดูแลผู้สูงอายุและเข้าใจความต้องการเฉพาะของผู้สูงวัย
  2. การดูแลแบบเฉพาะบุคคล เราเข้าใจว่าผู้สูงอายุแต่ละท่านมีความต้องการที่แตกต่างกัน จึงมีการประเมินและจัดทำแผนการดูแลเฉพาะบุคคล ที่มีการทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
  3. สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นเหมือนบ้าน บ้านลลิสาออกแบบให้มีบรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน ไม่ใช่สถานพยาบาล เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
  4. เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีส่วนร่วม เราส่งเสริมให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและกิจกรรมต่างๆ มีการรายงานความคืบหน้าและสุขภาพของผู้สูงอายุให้ครอบครัวทราบอย่างสม่ำเสมอ

ทำไมบ้านลลิสาจึงแตกต่างจากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอื่นๆ?

  1. ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง: บ้านลลิสามีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้สูงอายุที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรือผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด
  2. บริการแบบองค์รวม: ไม่เพียงแต่ดูแลด้านร่างกาย แต่ยังใส่ใจในด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมของผู้สูงอายุ
  3. สภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ: ด้วยทำเลที่ตั้งที่ร่มรื่น ห่างไกลจากมลภาวะ แต่ยังสะดวกต่อการเดินทาง ทำให้ผู้สูงอายุได้ใกล้ชิดธรรมชาติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
  4. ความยืดหยุ่นในการให้บริการ: สามารถปรับแผนการดูแลให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของผู้สูงอายุแต่ละท่าน
  5. การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแล: นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลและความปลอดภัยของผู้สูงอายุ

“ให้เราช่วยดูแลคนที่คุณรัก โทรหาเราตอนนี้”